ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic acid (HA) เป็นสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) หรือ น้ำตาลเชิงซ้อน สร้างขึ้นเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว คอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายจะสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น
Filler (เลือกอ่านได้)
เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าใต้ผิวหนัง สาร Hyaluronic acid จะดูดซับน้ำจากเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ เเล้วขยายตัวขึ้น ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นชั้นใต้ผิว ในจุดที่ต้องการแก้ไข ส่งผลให้ใบหน้าบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เต็มขึ้น ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นขึ้น ช่วยปรับสภาพผิว ทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวมีความยืดหยุ่น นุ่มนวลขึ้น นอกจากนี้ คุณสมบัติสำคัญของฟิลเลอร์ คือ มีความคงตัว จึงสามารถใช้ฉีดเสริมจมูก เสริมคาง
นอกจากนี้ HA จะถูกนำมาผ่านกระบวนการ Cross-Link เพื่อให้มีความคงทนมากขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น โดยฟิลเลอร์ของแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์และการเห็นผลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการ Cross-Link, ขนาดของ molecule และความเข้มข้น
สารเติมเต็มประเภท HA มีความปลอดภัย ลักษณะใกล้เคียงกับไฮยารูลอนิกแอซิดที่อยู่ในร่างกายของเรา เมื่อฉีดแล้วจึงสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยจะสลายไปเองเมื่อผ่านไป 6 เดือน-2 ปี ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีในการผลิต และตำแหน่งที่ฉีด
ปัจจุบันมีฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทยมีหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุ่นมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ควรเลือกให้เหมาะกับปัญหาที่จะแก้ไข เพื่อความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี
ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับปัญหาดังต่อไปนี้
- ริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก ขมับ ร่องใต้ตา แก้ม ร่องแก้ม ร่องลึกมุมปาก
- แก้ไขปรับแต่งรูปหน้า เช่น ยกหน้า midface เติมริมฝีปาก จมูก คาง แนวกรอบหน้า
- รูขุมขนกว้าง หลุมสิวบนใบหน้า
- skin booster: เติมผิวชั้นตื้น เพิ่มความชุ่มชื่น ลดเลือนริ้วรอย ช่วยทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวเรียบเนียนขึ้น
การเลือกใช้ตัวฟิลเลอร์นั้นจะต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข ปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ความต้องการและความพึงพอใจในแต่ละราย โดยแพทย์จะประเมินการใช้ยาตามความเหมาะสมของแต่ละปัญหาแต่ละบุคคล
- หน้าผาก แนะนำใช้ประมาณ 4-6 cc
- ขมับ ถ้าขมับไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าขมับลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
- ร่องใต้ตา ถ้าใต้ตาไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าใต้ตาลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
- แก้มตอบ แนะนำใช้ข้างละ 1-2 cc
- แก้มส้ม ถ้าหน้าแก้มไม่แบนมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหน้าแก้มแบนมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
- ร่องแก้ม ถ้าร่องแก้มไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหากร่องแก้มลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
- ร่องมุมปาก ถ้าร่องมุมปากไม่ลึกมาก แนะนำใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหากร่องมุมปากลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
- ปาก ถ้าอยากได้ทรงมุมปากยก ปากดูอมยิ้ม เติมแค่ปากบน แนะนำใช้ 1 cc ถ้าหากอยากเติมทั้งปากบน-ล่าง เพิ่มวอลลุ่ม แนะนำให้เติม 2 cc
- คาง แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
- จมูก แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
- ยกหน้า midface แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
ผลลัพธ์ของการฉีด Filler
- ผลลัพธ์จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังทำทั้งนี้อาจจะต้องรอประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวฟิลเลอร์เซ็ตตัวเข้าที่และกลืนไปกับชั้นผิวได้ดีขึ้น
- ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นกับชนิดของฟิลเลอร์
- ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
การเตรียมตัวก่อนการฉีด Filler
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความชำนาญ
- ตรวจสอบ Filler ก่อนฉีดทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน
- งดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า, ขัดหน้า ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
- งดแอลกอฮอล์ ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
- งดใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำ
- ในรายที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- หากเคยผ่าตัด เคยทำศัลยกรรมบนใบหน้า หรือเคยฉีดสารเติมเต็มใดๆมาก่อน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีด Filler
- หากมีโรคประจำตัว แพ้ยา แพ้อาหาร ประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีด Filler
ขั้นตอนการฉีด Filler
- เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่รักษา
- ทายาชาหรือประคบเย็นในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อลดอาการเจ็บ
- ทำการรักษาโดยการฉีดยาตำแหน่งที่ต้องการ
- เมื่อทำการรักษาแล้ว ทำความสะอาดผิว
ระยะเวลาในการฉีด Filler
- หากทายาชา ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
- หากประคบเย็น ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
การดูแลหลังฉีด Filler
- งดการกด การนวดบริเวณที่ฉีด ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำให้ทำ
- งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า การอบไอน้ำ ทรีทเม้นท์ หรือเลเซอร์หลังฉีด 2 สัปดาห์
- งดการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีด 1-2 สัปดาห์
- งดการแต่งหน้าหลังฉีดภายในวันดังกล่าว
- หลังฉีดสามารถล้างหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ
- สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
- สามารถทายาลดการเกิดจ้ำเขียวหรือรอยช้ำได้ ตามคำแนะนำของแพทย์
- หากมีอาการปวดสามารถกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามองลได้
- กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ
ข้อห้ามในการฉีด Filler
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- คนที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือประวัติแพ้ยารุนแรง
- บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด ผิวหนังอักเสบ มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะทําการรักษา
- บุคคลที่มีสิวที่รุนแรงหรือเรื้อรังบนใบหน้าหรือลำคอ
- มีประวัติแผลเป็นนูน keloid ง่าย
- ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่อง กินยากดภูมิ
- ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบหลอดเลือด หรือการแข็งตัวของเลือด
- บุคคลที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิต ที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้
- โรคผิวหนังบาง (e.g., chronic steroid use, genetic syndromes such as Ehlers-Danlos syndrome)
- ในกรณีที่ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนังหรือปลูกถ่ายไขมนัในบริเวณที่ทำการรักษาควรเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน
- บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผล
ผลข้างเคียงในการฉีด Filler
- Edema (บวม): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 1 สัปดาห์
- Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- Bruising (ช้ำ): การช้ำเล็กน้อยที่อาจเกิดได้จากความเสียหายที่เกิดบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน หรือหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้น เป็นครั้งคราวและดีขึ้นภายใน 2 ~ 3 สัปดาห์
- Tenderness (จุดเจ็บ): อาจจะมีจุดที่สัมผัสแล้วมีอาการเจ็บ อาการเหล่านี้จะหายภายใน 2 สัปดาห์
- Visible or palpable filler bumpiness (ก้อนบวม, ก้อนนูน): ดีขึ้นหรือหาย ภายใน 2 สัปดาห์
- Asymmetry, overcorrection, or undercorrection (ไม่สมมาตร): อาการเหล่านี้ดีขึ้น หากได้รับการฉีดปรับแก้ไข
- Tyndall effect (รอยสีผิวม่วงคล้ำ): รักษาโดยการกดคลึง, ฉีดสลาย หรือ Q-switched 1064-nm laser
- Migration (การเคลื่อนตัวของ filler): จากการนวดคลึงรุนแรงหลังฉีด
- Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
- Infection (การติดเชื้อในตำแหน่งที่ฉีด), Allergic hypersensitivity reactions (อาการแพ้)
- Tissue necrosis (เนื้อเยื่อตาย): จากสารเติมเต็มอุดตันหลอดเลือด อาการจะเกิดขึ้นรวดเร็วหลังการฉีด รักษาโดยการช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณนั้น นวดคลึง, ประคบอุ่น ทา nitroglycerine ointment, ฉีดสลาย